การมอบเทวรูปให้ผู้อื่น
เทวรูปที่เราไม่อาจจะบูชาต่อไปได้ ด้วยเหตุขัดข้องบางประการ เช่น ต้องย้ายบ้าน ไปอยู่ต่างประเทศ ที่อยู่ให่มคับแคบ หรือไม่ประสงค์ที่จะบูชาอีกต่อไปแล้ว เพราะเห็นว่าไม่เหมาะสมกับเรา หรือมีคนที่เหมาะสมกว่าที่อยากจะรับเทวรูปนั้นไปบูชาแทน หรือการที่เรารักใครชอบใครเป็นพิเศษอยากที่จะยกมอบเทวรูปที่เราบูชาอยู่ให้เขาบูชาเพื่อที่จะได้รับสิ่งดีๆเหมือนกันที่เรานั้นได้รับอยู่
เรามีสิทธ์ที่จะมอบเทวรูปนั้นให้แก่ผู้อื่นได้ ตามที่เราเห็นว่าสมควรที่จะมอบให้ การที่เราเช่าเทวรูปมาบูชานั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องบูชาเทวรูปนั้นไปตลอดชีวิตของเรา ไม่สามารถมอบให้ใครได้ การยกเทวรูปที่เราบูชาอยู่ให้แก่ผู้อื่นนั้น ไม่มีพีธีกรรมอะไรยุ่งยาก เพียงแค่จุดธูปเทียนกำยานถวายดอกไม้ และบอกกว่าเทวรูปนั้น ว่าจะขอมอบเทวรูปให้กับบุคคลชื่อนี้นามสกุลนี้เพื่อที่จะนำไปบูชาต่อไป แล้วก็ให้ผู้ที่จะรับช่วงบูชาต่อนั้นกล่าวปฏิญาณต่อเทวรูปว่าจะดูแลรักษาเทวรูปนั้นเป็นอย่างดี ก็เพียงพอแล้ว
หรือบางทีผู้ที่จะรับช่วงบูชาเทวรูปนั้นไม่ได้อยู่ในพิธี เจ้าของเทวรูปก็เพียงแต่บอกกล่าวฝ่ายเดียว พอรูปธูปหมดดอกก็ดับเทียนแล้วยกไปบ้านของผู้ที่จะรับช่วงบูชาต่อมากล่าวรับไปภายหลังก็ได้ หรือที่เป็นที่อนุโลมที่สุด กเพียงแค่เจ้าของเทวรูปนั้นบอกปากเปล่าว่าจะยกเทวรูปนั้นให้ใครบูชาต่อไป คำพูดนั้นก็มีผลแล้ว
ยิ่งถ้าผู้ที่จะรับช่วงบูชาต่อเป็นทายาทของเราแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไรเลย โดยเฉพาะทายาทที่เกิดและเติบโตอยู่ในบ้านเดียวกันนั้น หรือได้บูชาเทวรูปนั้นมาก่อนแล้ว แม้เราถึงแก่กรรมโดยมิได้บอกกล่าวว่าจะยกเทวให้บูชาต่อแล้ว ทายาทคนนั้นก็ สามารถที่จะบูชาต่อได้เลยโดยไม่มีปัญหา กรณีนี้ หากเราเป็นทายาทของผู้เป็นเจ้าของเดิม ซึ่งได้ถึงแก่กรรมไปแล้วจะรับเทวรูปที่เคยเป็นของบิดามารดา ผู้ปกครองของเรามาบูชาต่อ ก็ใช้หลักการเดียวกันได้เลย
หากเราเป็นคนในครอบครัวที่ไม่ใช่ญาติ แต่เป็นคนใกล้ชิดของเจ้าของเทวรูป เช่น สามี ภรรยา พี่น้อง ก็เช่นเดียวกับทายาท ไม่มีปัญหาอะไรที่จะรับไปบูชาต่อ เพียงแต่จุดธูปเทียนกำยานบอกกล่าวเทวรูปขอรับโอนไปบูชาต่อ เนื่องจากผู้บูชาเดิมไม่สามารถจะบูชาต่อไปได้แล้ว และตนนั้นเกี่ยวข้องเป็นอะไรความสัมพันธ์กับเจ้าของเดิมเป็นอย่างไรก็กล่าวบอกกับเทวรูปไป หากเจ้าของเดิมถึงแก่กรรมไปแล้วก็เอารูปมาตั้งไว้หน้าแท่นบูชา ถ้ามีโกศบรรจุอัฐิก็เอามาด้วย จุดธูปเทียนบอกกล่าวขอรับเทวรูปเพื่อที่จะนำไปบูชาต่อ
ถ้าหากเป็นคนบ้านเดียวกัน ยังคงอาศัยและบูชาเทวอยู่ที่เดิมนั้นก็เพียงแค่ยกเทวรูปขึ้นมาจรดหน้าผากแล้วก็วางประดิษฐานไว้ที่เดิม หากเทวรูปมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะยกได้ก็เอานิ้วกลางรมควันกำยานให้รูปสึกร้อน แตะที่หน้าผากของเทวรูปแล้วนำมาแตะกึ่งกลางระหว่าคิ้วขอตนเอง
ถ้าเจ้าของเดิมยังไม่ถึงแก่กรรม เพียงแต่ทุพพลภาพ ทำพิธีมอบไม่ได้ เอ่ยปากพูดอะไรไม่ได้ หรือเป็นเจ้าชายนิทรา คนที่จะรับไปบูชาต่อก็เพียงแค่ไปพูดขออนุญาตกับเขาโดยตรง ผู้เป็นเจ้าของจะแสดงท่าทีว่าตกลงหรือไม่ตกลงนั้นก็ไม่สำคัญเพราะผู้ที่เป็นเจ้าของเดิมนั้นก็ไม่อาจที่จะบูชาต่อได้แล้วเหมือนกัน ดีเสียอีกที่เทวรูปองค์นั้นๆจะมีผู้บูชาต่อไป
บุคคลที่บูชาเทพแล้วมีอันเป็นไป ก็แสดงได้ว่าเทพเจ้าไม่ได้คุ้มครองบุคคลนั้นแล้ว เขาจึงได้ประสบชะตากรรมอย่างนั้น คนที่บูชาเทพอย่างถูกต้อง หรือบูชาด้วยความบริสุทธ์ใจ อย่างสม่ำเสมอแล้ว เทพเจ้าจะปกป้องคุ้มครองไม่ให้ต้องประสบพบเจอกับเรื่องที่ไม่ดี ถึงแม้อาจจะเจอกับเรื่องเลวร้ายก็จะผ่านพ้นไปได้อย่างรวดเร็ว เรื่องร้ายหนักๆก็อาจจะบั่นทอนจากหนักกลายเป็นเบาได้
หากผู้ที่บูชาไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆกับผู้ที่เป็นเจ้าของเดิมอยู่นั้น แล้วอยากบูชาเทวรูปต่อ เพราะเทวรูปอาจไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แตเจ้าของเดิมได้ถึงแก่กรรมไปแล้วนั้น ก็ทำได้โดยกล่าวขอกับผู้ที่เป็นที่สนิทของเจ้าของเดิมนั้นอาจจะเป็น สามี ภรรยา พี่น้อง หรือ ทายาทได้ ก็แล้วแต่ว่าทางนั้นเขาจะมอบให้หรือไม่
อันเกิดจากศีลาจาริยวัตรอันงดงาม ได้อธิษฐานตั้งสมาธิ บรรจุกระแสพลังจิตที่บริสุทธืเข้าไปยังวัตถุมงคล พลังจิตที่บริสุทธ์เหล่านี้จะแปรเปลี่ยนเทวรูป วัตถุมงคลต่างๆ จากศิลปะประติมากรรม ให้สามารถถ่ายทอดพลังได้ เทวรูปและวัตถุมงคลในประเทศไทยที่ผ่านการนั่งปรกของพนะสงฆ์ และผ่านพิธีกรรมในศาสนาพราหมณ์ที่ถูกต้องนั้น มักจะมีอานุภาพและความศักดิ์สิทธ์ในระดับที่สูงกว่าเทวรูป วัตถุมงคลที่ผานพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์เพียงอย่างเดียว เพราะการนั่งปรกมีพื้นฐานคือพลังจิตที่มีความบริสุทธิ์และทรงอานุภาพซึ่งพราหมณ์ไม่มี เพราะฉะนั้นเทวรูปที่ผ่านพิธีกรรมทางเทวศาสตร์ของอินเดียจะสามารถมีพลังความขลังได้เท่ากับเทวรูปที่ผ่านการนั่งปรกโดยพระสงฆ์นั้น มักจะเป็นเทวรูปที่ผ่านพีธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์โดยมีฤๅษี และโยคีผู้ทรงณานสมาบัติจริงๆที่จะร่วมบรรจุพลัง กล่าวอย่างง่ายๆคือ อาศัยพลังจิตของฤๅษีและของโยคีเหล่านั้นแปรสภาพประติมากรรมทั่วๆไปให้เป็นวัตถุมงคล เหมือนกับการนั่งปรกของพระสงฆ์ แต่พิธีกรรมนี้ในปนะเทศอินเดียทำกันไม่มากนัก พิธีกรรมเทวาภิเษกในประเทศอินเดียส่วนใหญ่กระทำโดยพราหมณ์อย่างเดียวเท่านั้น ไม่เหมือนพิธีกรรมเทวาภิเษกในประเทศไทยที่นิมนต์พระสงฆ์มานั่งปรก
แต่การนั่งปรกเพียงอย่างเดียว โดยไม่ผ่านพิธีกรรมเทวาภิเษกนั้น เทวรูปก็จะเป็นได้เพียงวัตถุมงคลเท่านั้น ไม่สามารถ สื่อสารกับองค์เทพได้ จึงจำเป็นที่จะต้องนำเทวรูปผ่านพิธีกรรมเทวาภิเษกด้วย จึงจะสมบูรณ์แบบ ผู้ที่ได้รับเทวรูปมาประดิษฐานก็ควรเสาะแสวงหาประวัติของพิธีกรรมเกี่ยวกับเทวรูปนั้นๆ หากมีพิธีกรรมเกี่ยวกับเทวรูปองค์นั้นๆก็ควรที่จะหาโอกาสไปร่วมพิธีด้วย การเลือกพิธีกรรมก็ควรพิจารณาว่า พิธีกรรมเทวาภิเษกนั้นกระทำได้อย่างถูกต้องหรือไม่ มีระบบระเบียบ เป็นมาตรฐานมาน้อยเพียงใด ฤกษ์ยามในการทำพิธีกรรมนั้นเหมาะสมหรือไม่ พระอาจารย์ผู้ที่กระทำพิธีนั้นมีความสามารถมีความชำนาญเพียงใด
ส่วนการบูชาเทวรูปที่ไม่ผ่านพิธีกรรมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการบูชานั้นเป็นการบูชาที่ไร้ผล เนื่องจากเทวรูปไม่สามารถเชื่อมโยงผู้ที่บูชากับองค์เทพได้ จะมีแต่สัมภเวสี ภูตผีขั้นต่ำเท่านั้นที่จะสิงสู่เทวรูปแล้วคอยกินเครื่องเซ่นไหว้ กลายเป็นสิ่งไม่มงคล เป็นอาถรรพณ์แทน เป็นการบูชาผีซึ่งเข้าใจผิดว่าเป็นการบูชาเทพเจ้า
Web Design by gumyan.com
เว็บไซต์ www.Gumyan.com ได้จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
ชื่อที่ใช้ในการประกอบพาณิชยกิจ (Company Name) : กำยาน ดอทคอม(gumyan.com) ทะเบียนพาณิชย์เลขที่ : 3110300461872
องค์เทพ เทวรูป งานปั้นสุขสมบัติ | เศียรครู หัวโขน | พระพุทธรูป | น้ำมันหอมระเหย | เครื่องหอม กำยาน | อุปกรณ์บูชาองค์เทพ | ขันโตก | โรงงานสุขสมบัติ